โดย กลุ่มวิทยาศาสตร์สังคม
(ดูวีดีโอแสดงภาพเคลื่อนไหวระดับน้ำใน YouTube)
3 มีนาคม 2554
กรณีพิพาทเขาพระวิหารระหว่างไทยและกัมพูชาในปัจจุบันเกิดขึ้นจากประเทศไทยต้องเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมอินโดจีนครอบครองกัมพูชา-ลาว-เวียดนามในคริสศตวรรษที่ 19 ซึ่งสยามมีแสนยานุภาพเป็นรองจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสในช่วงนั้น สยามจึงต้องตกลงทำสนธิสัญญากับ ฝรั่งเศส ปี1904 – 1907 โดยเฉพาะการจัดทำแผนที่ ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำขึ้นเพียงฝ่ายเดียวในปี1907 โดยใช้มาตราส่วน 1: 200000 ที่แสดงแนวเขตแดนให้เห็นว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในแดนกัมพูชา
เมื่อครั้งที่นำคดีสู่ศาลโลก ทนายฝ่ายไทยยืนยันไม่ยอมรับการขีดเส้นแบ่งเขตแดนในแผนที่ของฝรั่งเศสที่จัดทำขึ้นเองเพียงฝ่ายเดียวและแม้คำพิพากษาของศาลโลกมิได้นำมาพิจารณาตามคำฟ้องของฝ่ายกัมพูชา แต่ฝ่ายกัมพูชา และนักวิชาการไทยบางส่วนที่สนับสนุนแนวคิดยอมรับแผนที่1:200000 ก็ยังนำมาอ้างอิงจนเป็นการวิวาทะกันในปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มวิทยาศาสตร์สังคมเห็นว่ายังมีช่องว่างของการอธิบายในเรื่องสันปันน้ำ( Watershed ) จึงใคร่นำเสนอ เพื่อให้คนไทยที่ใฝ่รู้ความจริงได้พิจารณาเป็นหลักฐานใหม่ ก่อนไทยจะสูญเสียดินแดน 4.6 ตร.กม หรือสูญเสียดินแดนตามแนวเขตแผนที่ของฝรั่งเศสไปถึงจังหวัดศรีสะเกษจรดจังหวัดสุรินทร์ และ อาจถึงพื้นที่ในทะเลซึ่งหมายถึงสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยอีกมาก ทั้งเป็นการกระตุ้นให้คนไทยที่มีจิตสำนึก ที่เป็นวิทยาศาสตร์ได้ทบทวน และลุกขึ้นมาทักท้วงความไม่ถูกต้อง ซึ่งทางกลุ่มวิทยาศาสตร์สังคมขอให้พิจารณาถึง
หลักแห่งธรรมชาติ (ในที่นี้หมายถึงลักษณะของพื้นที่ ภูมิประเทศ การใช้ที่ดิน และ แหล่งต้นกำเนิดลุ่มน้ำลำธาร ฯลฯ) เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่การค้นพบและการใช้เครื่องมือเพื่อการค้นพบดังกล่าวได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งสามารถพิสูจน์ได้โดยหลักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน และเป็นความจริงหรือสัจธรรมที่พิสูจน์ได้”
เพื่อให้สามารถเข้าใจถึงปฐมเหตุแห่งปัญหาและการบิดเบือนธรรมชาติและความชั่วร้ายของนักล่าเอาณานิคม ขอเริ่มจากคำนิยามว่า Watershed หรือที่คนไทยทั่วไปเรียกว่าเส้นสันปันน้ำดังที่ปรากฏในคำพิพากษาที่อ้างถึงสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ปี 1904 คือสาระสำคัญที่ฝ่ายนักล่าอาณานิคมนำมาบิดเบือนความจริงซึ่งขัดแย้งอย่างรุนแรงกับธรรมชาติที่ดำรงอยู่ตราบใดที่ยังใช้คำนิยามเส้นสันปันน้ำ ฝ่ายจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสและกัมพูชาและฝ่ายสนับสนุนก็ยังสามารถใช้เป็นข้ออ้างอันถือว่าเป็นการใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อบิดเบือนเส้นเขตแดนที่แท้จริงได้จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
รูปที่ 1 Watershed ตามคำนิยามลุ่มน้ำ
หรือแปลได้ว่า “พื้นที่ลุ่มน้ำคือพื้นที่ของแผ่นดินที่ปริมาณน้ำทั้งหมดที่อยู่ใต้ดินหรือไหลอยู่บนดินไหลลงมารวมในพื้นที่เดียวกัน นาย จอหน์ เวสลีย์ โพเวล นักวิทยาศาสตร์สาขาภูมิศาสตร์ให้คำนิยามที่ดีที่สุดของพื้นที่ลุ่มน้ำคือ – พื้นที่ล้อมรอบระบบน้ำที่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันโดยแบ่งแยกมิได้โดยระบบน้ำร่วมและเป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์สร้างถิ่นฐานโดยตรรกะพื้นฐานแห่งความต้องการที่แสดงว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน”
สรุปคำนิยามของพื้นที่ลุ่มน้ำคือพื้นที่แหล่งกำเนิดชุมชนที่สร้างขึ้นโดยระบบน้ำร่วมจึงเห็นได้ว่าพื้นที่ลุ่มน้ำครอบคลุมตั้งแต่แหล่งกำเนิดหรือต้นน้ำหรือพื้นที่ระบบน้ำที่อยู่ในที่สูงกว่า และ พื้นที่ระบบน้ำที่อยู่ต่ำกว่าซึ่งน้ำไหลมารวมกันที่เป็นชุมชน ระบบน้ำและสิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์และสรรพสิ่งเกี่ยวเนื่องกันและโดยกฎแห่งธรรมชาติที่ระบบน้ำก่อกำเนิดจากฝนที่ตกลงมาบนพื้นที่ๆสูงกว่าได้แก่บนภูเขาและสันเขาตามธรรมชาติ และไหลมาตามทางเส้นทางน้ำทั้งใต้ดิน และ บนดิน ได้แก่ ห้วย หนอง คลอง บึง ลำธาร แม่น้ำ ทะเลสาป ทะเล และ มหาสมุทร ตามลำดับ และโดยธรรมชาติถิ่นฐานและชุมชนของมนุษย์จะอยู่เหนือระดับน้ำของพื้นที่ลุ่มน้ำใดลุ่มน้ำหนึ่ง
จากคำนิยามดังกล่าวพื้นที่ลุ่มน้ำสามารถถูกจำแนกแยกแยะได้โดยสมการทางคณิตศาสตร์เพื่อกำหนดเป็นพื้นที่เพื่อให้สามารถกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำได้โดยตัวแปรหลักๆดังนี้คือ ระดับความสูงของแผ่นดินเหนือระดับน้ำทะเล ความลาดชัน ลักษณะแผ่นดิน ลักษณะธรณีวิทยา ลักษณะดิน ประเภทการใช้ที่ดิน เป็นต้น โดยการจำแนกคุณภาพลุ่มน้ำตามมาตรฐานสากลกำหนดเป็นชั้นคุณภาพที่แสดงด้วยตัวเลขเช่นชั้น 1A 1B ชั้นที่ 2 3 4 หรือ 5 เป็นต้น ซึ่งได้จากการแทนค่าตัวแปรและนำมาจัดลำดับเพื่อให้สะดวกต่อการบริหารจัดการ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆพื้นที่ลุ่มน้ำที่มีระดับความสูงของแผ่นดินและ ความลาดชันสูงจะมีตัวเลขน้อย คือชั้น 1A 1B ซึ่งคือภูเขาสูงชันและป่าสมบูรณ์ที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารเป็นส่วนใหญ่ และ ชั้นที่ 2 3 4 หรือ 5 ก็คือพืนที่ลุ่มน้ำที่ระดับต่ำกว่า และ ความลาดชันน้อยกว่า จึงมักเป็นภูเขาเตี้ย และที่ราบลุ่มใกล้แม่น้ำ หนอง คลองบึง ที่มนุษย์ก่อสร้างชุมชนและอาศัยอยู่ ดังที่กล่าวมาจึงสามารถกล่าวได้ว่ามนุษย์ต่างตั้งถิ่นฐานและอยู่ร่วมกันในพื้นที่ลุ่มน้ำใดลุ่มน้ำหนึ่ง
ดังนั้นหากเรานิยามคำว่า Watershed ใหม่ตามมาตรฐานสากลก็สามารถแบ่งพื้นที่เขตแดนตามคำนิยามของสนธิสัญญา 1904-1907 ได้โดยมิต้องคำนึงถึงเส้นแบ่งเขตแดนตามที่ปรากฎในแผนที่อีกต่อไปว่าถูกต้องหรือไม่ ปัญหาที่ฝ่ายอ้างอิงเส้นเขตแดนในแผนที่อาจโต้แย้งคือ คำว่า Watershed ใหม่ตามมาตรฐานสากลจะตรงกับความหมายและใช้ได้ตามสนธิสัญญา1904-1907 หรือไม่ เมื่อตรวจสอบรากศัพท์ของคำว่า Watershed พบว่ามีกำเนิดมาจาก ภาษาเยอรมันคือ Wasserscheide ซึ่งมีกำเนิดและนำมาใช้ตั้งแต่ คริสศตวรรตที่ 14ประกอบด้วยคำว่า Wasser แปลว่าน้ำ และ scheideแปลว่า เส้นแบ่ง และ เป็นคำที่เริ่มใช้ในภาษาอังกฤษ คือWatershed ในคริสศตวรรตที่ 18-19 จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นคำว่า Watershedจึงไม่ใช่คำใหม่แต่มีรากฐานและความหมายดั้งเดิมที่เกี่ยวกับสันปันน้ำหรือเส้นแบ่งน้ำ
เมื่อพิจารณาว่าพื้นที่ลุ่มน้ำในปัจุบันหรือสันปันน้ำในอดีตดังกล่าวที่ปรากฎในแผนที่จะมีลักษณะหรือตรงกับคำนิยามและเจตนารมย์ของสนธิสัญญาหรือไม่ เราสามารถพิสูจน์ได้โดยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System – GIS) ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในคริสศตวรรตที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือโดยภาพดาวเทียมและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์Google Earth ที่แสดงภูมิ
รูปที่ 2 ภาพดาวเทียม Google Earth และเส้นระดับความสูง (Contour) บริเวณเขาพระวิหาร
ประเทศบริเวณเขาพระวิหารและเส้นระดับความสูงที่สร้างจากระบบ GIS ตามรูปที่ 2 จะเห็นว่าเราได้ค้นพบหลักฐานใหม่คือเส้นระดับความสูงและพื้นลุ่มน้ำที่สามารถสร้างขี้นได้อย่างถูกต้องโดยไม่จำเป็นต้องทำการสำรวจในพื้นที่จริงเหมือนในอดีต และพิสูจน์ได้ว่าเส้นเขตแดนหรือเส้นสันปันน้ำของฝรั่งเศสในแผนที่ 1:200000 ไม่ถูกต้องโดยพิสูจน์ได้จากแบบจำลอง 3 มิติ ของระดับน้ำซึ่งทำขึ้นจากข้อมูลแผนที่ดิจิตอลระดับความสูง(Digital Elevation Model – DEM)โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้คือ ในสภาวะปกติแผ่นดินของกัมพูชาแถบเทือกเขาพนมดงรักอยู่ในลุ่มน้ำที่ต่ำกว่าคืออยู่ที่ระดับเหนือน้ำทะเลที่ประมาณ 90-116 เมตร ตามรูปที่ 3 ชุมชนชาวกัมพูชาสร้างถิ่นฐานอยู่ในพื้นนี้ได้เป็นปกติแต่หากจำลองให้ระดับน้ำสูงขึ้นมาที่ระดับ 206 เมตร ตามรูปที่ 4 หรือสูงขึ้นมา 90 เมตร (ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จริงหมู่บ้านและชุมชนทั้งหมดในบริเวณนี้จะจมอยู่ใต้น้ำ) พื้นที่ดังกล่าวย่อมไม่เกิดเป็นชุมชนเพื่อการตั้งถิ่นฐานอีกต่อไปแต่จะกลายเป็นทะเลสาบชุมชนชาวกัมพูชาจะต้องอยู่เหนือขึ้นมาซึ่ง
ไม่มีอยู่จริงในปี 1904-1907
ไม่มีอยู่จริงในปี 1904-1907
รูปที่ 5 แบบจำลองระดับความสูงระดับน้ำที่ 336 เมตร
แผนที่ 1 : 200000 สามารถแบ่งพื้นที่ลุ่มน้ำหรือเป็นเส้นสันปันน้ำได้ตามที่ระบุสนธิสัญญากล่าวคือหากจำลองระดับน้ำมาถึงที่ระดับ 566 เมตร ตามรูปที่ 6 ซึ่งอยู่ในระดับความสูงใกล้เคียงเส้นสันปันน้ำตามแผนที่ฝรั่งเศสที่ยังคงปราสาทเขาพระวิหารในเขตแดนประเทศกัมพูชาตามแผนที่ 1: 200000 ดังกล่าว สภาพเขาพระวิหารบริเวณปราสาทจะกลายเป็นเกาะเล็กๆในฝั่งกัมพูชา แต่ที่ราบลุ่มเกือบทั้งประเทศจะกลายเป็นทะเลทั้งหมดที่ชุมชนไม่อาจอาศัยอยู่ได้ จึงเห็นได้ว่าเส้นเขตแดนดังกล่าวไม่ถูกต้องตามธรรมชาติที่พิสูจน์ได้โดยอย่างชัดเจนโดยเทคโนโลยีในปัจจุบัน
รูปที่ 6 แบบจำลองระดับความสูงระดับน้ำที่ 566
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่าธรรมชาติหรือลักษณะของพื้นที่ของภูมิประเทศของเขตแดนไทยและกัมพูชาได้ถูกแบ่งอย่างชัดเจนโดยธรรมชาติโดยชุมชนชาวกัมพูชาอาศัยตั้งถิ่นฐานอยู่พื้นที่ลุ่มน้ำหนึ่งที่ต่ำกว่าคือที่ระดับไม่เกิน 116 เมตร และตั้งแต่ระดับความลาดชันที่ความสูง 206 เมตรของเชิงเขาพระวิหารขึ้นไปเป็นพื้นที่ของอีกลุ่มน้ำหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งหรือพื้นที่แบ่งและยังเป็นจริงจนถึงที่ความลาดชันสูง 306 เมตร ขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดคือที่ระดับประมาณ 636 เมตร กล่าวคือเป็นพื้นที่อีกลุ่มน้ำหนึ่งในเขตแดนของสยามครอบครองและตั้งชุมชน และเหนือขึ้นไปบนยอดเขาก็เป็นที่ตั้งเทวาลัยคือปราสาทเขาพระวิหารที่สร้างสรรค์โดยชุมชนรุ่นบรรพชนนั่นเอง เขตแดนสยามบริเวณเขาพระวิหารที่ติดกับฝั่งเขมรจึงควรเริ่มที่ระดับน้ำ 206 เมตร (แม้ว่าทางปฎิบัติจริงที่ระดับระหว่าง 206-306 เป็นแนวผาสูงชันไม่มีชุมชนตั้งอยู่ก็ได้) นอกจากนั้นก่อนเกิดสนธิสัญญาปี 1904-1907 เป็นความจริงที่ชุมชนจะอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำเสมอชุมชนสยามยังสามารถขยายอาณาเขตครอบครองลงมาทางด้านทิศใต้ที่ระดับต่ำกว่า 116 เมตร จนถึงเสียมราฐซึ่งเป็นอีกพื้นที่ลุ่มน้ำหนึ่งที่มีชั้นคุณภาพลุ่มน้ำใกล้เคียงกับบริเวณเชิงเขาพระวิหารฝั่งเขมรจรดลุ่มน้ำทะเลสาบน้ำจืดโตนเลสาบ
สภาพพื้นที่ลุ่มน้ำตามเทือกเขาพนมดงรักดังกล่าวดำรงอยู่จริงจึงก่อเกิดเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติโดยระดับความสูง ความลาดชัน เพื่อเป็นถิ่นที่ตั้งของชุมชน และสิ่งก่อสร้างเทวาลัยมานับร้อยๆปีมาแล้วก่อนเกิดเส้นเขตแดนที่จักรวรรดินิยมฝรั่งเศสสร้างขึ้นบนแผนที่ 1: 200000 โดยความไม่ชอบธรรม โดยอคติ ไม่สุจริต หรือเป็นเท็จอันไม่ถูกต้องตามเจตนารมย์ของสนธิสัญญามาตั้งแต่ต้นกระบวนคิดใหม่โดยการอธิบายคำนิยามใหม่ของพื้นที่ลุ่มน้ำ (Watershed) และการนำเสนอใหม่นี้จึงอธิบายความหมายของคำว่า Watershed ได้อย่างสมบูรณ์มากกว่าคำนิยามเดิมที่เพียงใช้คำว่าสันปันน้ำอย่างเดียว และยังสามารถพิสูจน์ได้ว่าปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ4.6 ตารางกิโลเมตร รวมถึงสันเขาของเทือกเขาพนมดงรักตลอดเขตแดนจังหวัดศรีสะเกษ จรดจังหวัดสุรินทร์อยู่ในดินแดนของประเทศไทย
เป็นความจริงที่ดินแดนในบริเวณดังกล่าวอาจถูกครอบครองโดยบรรพชนแห่งรัฐกัมพูชาในอดีต และเป็นจริงที่การขยายอาณาเขตในอดีตคือการครอบครองโดยการเข้ายึดครองโดยสยาม แต่ เมื่อสยามเสียดินแดนหรือเสียการครอบครองให้ฝรั่งเศส และได้ระบุในสนธิสัญญาว่าการกำหนดเส้นเขตแดนใช้คำว่า Watershed การสร้างเส้นเขตแดนจริงจึงต้องทำให้ถูกต้องและชอบธรรม ดังนั้นหากฝรั่งเศสซึ่งครอบครองอินโดจีนในขณะนั้นบังคับสยามให้สละดินแดนโดยสร้างเขตแดนที่ไม่ถูกต้องตามเจตนารมย์ของสนธิสัญญา เมื่อสามารถใช้กระบวนคิดใหม่โดยอธิบายนิยามของคำว่าพื้นที่ลุ่มน้ำมาพิสูจน์ได้ว่าเส้นเขตแดนของฝรั่งเศสไม่ถูกต้อง ก็ควรเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกฝ่ายที่ควรจะร่วมมือกันแก้ไขทวงสิทธิและสมควรปกป้องดินแดนมิให้เสียเพิ่มเติมต่อไป
อาจมีข้อโต้แย้งว่าชาวเขมรเป็นผู้สร้างปราสาท หรือ รูปแบบของปราสาทคือนวัตกรรมที่รังสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติเขมรดังนั้นปราสาทต้องอยู่ในดินแดนเขมร เราสามารถอธิบายได้ว่าศิลปของปราสาทก็คือเอกลัษณ์ หรือ วัฒนธรรมของชนชาติหนึ่ง (ที่ จิตร ภูมิศักดิ์ สันนิฐานว่าคือชนชาติขอม) การปรากฎของเอกลักษณ์ที่เผยแพร่ไปนี้เป็นปรากฎการณ์ของวัฒนธรรมไร้พรมแดนประการหนึ่งเช่นเดียวกับ การบริโภคแมคโดนัล กาแฟสตาร์บัคส์ การบริโภคอาหารจีนและอาหารญี่ปุ่นโดยใช้ตะเกียบ หรือการบริโภคต้มยำกุ้งอันมีรสชาติและวิธีการปรุงอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทยที่เผยแพร่ไปทั่วโลกซึ่งก็คือรูปแบบหนึ่งของวัฒนธรรมไร้เขตแดนเช่นกัน ปรากฎการณ์วัฒนธรรมไร้พรมแดนหรือไร้เขตแดนที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบันคือวัฒนธรรมการใช้อินเตอร์เน็ต หรือ กระแสธารวัฒนธรรมที่ไหลบ่าผ่านอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันนั้นเอง ขณะที่ประเทศก็ยังคงขอบเขตและพรมแดนอยู่ต่อไป นี่คือคำตอบที่ไขปริศนาเหตุใดจึงมีปราสาทเมืองสิงห์ซึ่งมีศิลปคล้ายเขมรอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี
แล้วใครเป็นผู้สร้างปราสาทพระวิหาร? หากใช้กระบวนคิดกฎของธรรมชาติเราก็สามารถอธิบายคำถามดังกล่าวได้ดังนี้คือโดยธรรมชาติแล้วไม่มีมนุษย์คนไหนจะสร้างบ้านบนที่ดินของคนอื่น และ ไม่มีมนุษย์คนไหนสร้างบ้านให้มีทางเข้าบ้านจากหลังบ้านหรือให้มีทางเข้าผ่านที่ดินของคนอื่น มนุษย์ย่อมสร้างบ้านโดยให้มีทางเข้าจากหน้าบ้านเสมอ ปราสาทพระวิหารก็เช่นกันลักษณะของปราสาทมีทางขึ้นหรือทางเข้าจากจังหวัดศรีสะเกษซึ่งเป็นดินแดนที่ราบสูงของประเทศไทยอยู่คนละลุ่มน้ำกับเขมรต่ำ ดังที่กล่าวมาแล้วความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสรรพสิ่งในชุมชนบนลุ่มน้ำเดียวกันย่อมเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันโดยแบ่งแยกไม่ได้ปราสาทพระวิหารก็ย่อมต้องมีความสัมพันธ์กับชุมชนสยามตั้งแต่อดีตกาลอย่างแน่นอน การกระทำใดๆที่กระทำโดยฝืนธรรมชาติเช่นการพยามตัดความสัมพันธ์ของชุมชนสยามหรือประเทศไทยในปัจจุบันออกจากปราสาทพระวิหารที่อยู่ในลุ่มน้ำเดียวกันก็เท่ากับกระทำการอันฝืนธรรมชาติก็ย่อมก่อให้เกิดปัญหาอย่างแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ดังนั้นวาทะกรรมที่นักวิชาการ หรือฝ่ายสนับสนุนคำตัดสินของศาลโลกและการยอมรับแผนที่1:200000 โดยการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือถือหลักแห่งความไม่ยุติธรรมโดยการตีความเพื่อเข้าข้างตัวเองไม่ว่าโดยอคติ หรือ การมีผลประโยชน์แห่งตน และ พวกพ้อง บริวาร หรือ การว่าจ้างวานให้กระทำ หรือรับจ้างมากระทำโดยความพยายามอ้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือการตีความที่ไร้ซึ่งตรรกะเพื่อบิดเบือนหลักหรือกฎแห่งธรรมชาติรวมถึงการนำเสนอกระบวนคิดโลกไร้พรมแดน และ การสร้างวาทะกรรมอันชั่วร้าย โดยเฉพาะการประนามว่าการทวงคืนดินแดนเป็นการกระทำอันกระหายสงคราม เป็นสาวกของระบอบราชานิยม อำมาตยาเสนาชาตินิยม คลั่งชาติ ดังกล่าวนี้ คือหลักคิดด้านลบ คับแคบไม่เป็นวิทยาศาสตร์ อันปฎิเสธกฎแห่งธรรมชาติที่สุดแสนจะล้าหลังสวนทางกับกงล้อประวัติศาสตร์อย่างไร้เดียงสา ไร้ยางอาย และน่าละอายที่สุด
ไม่เพียงแต่คำสงวนคำตัดสินของประเทศไทยต่อคำตัดสินของศาลโลกเท่านั้นที่ให้ความชอบธรรมในการทวงสิทธิดินแดนคืนแต่ในฐานะคนไทยรักชาติต้องนำเสนอความจริงทางวิทยาศาสตร์อันเป็นสัจจธรรมแห่งธรรมชาติ เพื่อต่อต้านแนวคิดจักรวรรดนิยมที่มีแสนยานุภาพเหนือกว่าไทยในอดีตที่บังอาจกระทำหลักฐานเส้นแบ่งเขตพรมแดนตามอำเภอใจและได้สร้างปัญหาจนถึงปัจจุบัน กระบวนคิดใหม่นี้จึงถือเป็นภาระกิจสำคัญที่ต้องปฎิบัติให้เป็นจริงโดยประจักษ์โดยมิอาจหยุดยั้งได้นับตั้งแต่วินาที่นี้เป็นต้นไป แล้วใครเป็นผู้สร้างปราสาทพระวิหาร? หากใช้กระบวนคิดกฎของธรรมชาติเราก็สามารถอธิบายคำถามดังกล่าวได้ดังนี้คือโดยธรรมชาติแล้วไม่มีมนุษย์คนไหนจะสร้างบ้านบนที่ดินของคนอื่น และ ไม่มีมนุษย์คนไหนสร้างบ้านให้มีทางเข้าบ้านจากหลังบ้านหรือให้มีทางเข้าผ่านที่ดินของคนอื่น มนุษย์ย่อมสร้างบ้านโดยให้มีทางเข้าจากหน้าบ้านเสมอ ปราสาทพระวิหารก็เช่นกันลักษณะของปราสาทมีทางขึ้นหรือทางเข้าจากจังหวัดศรีสะเกษซึ่งเป็นดินแดนที่ราบสูงของประเทศไทยอยู่คนละลุ่มน้ำกับเขมรต่ำ ดังที่กล่าวมาแล้วความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสรรพสิ่งในชุมชนบนลุ่มน้ำเดียวกันย่อมเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันโดยแบ่งแยกไม่ได้ปราสาทพระวิหารก็ย่อมต้องมีความสัมพันธ์กับชุมชนสยามตั้งแต่อดีตกาลอย่างแน่นอน การกระทำใดๆที่กระทำโดยฝืนธรรมชาติเช่นการพยามตัดความสัมพันธ์ของชุมชนสยามหรือประเทศไทยในปัจจุบันออกจากปราสาทพระวิหารที่อยู่ในลุ่มน้ำเดียวกันก็เท่ากับกระทำการอันฝืนธรรมชาติก็ย่อมก่อให้เกิดปัญหาอย่างแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ดังนั้นวาทะกรรมที่นักวิชาการ หรือฝ่ายสนับสนุนคำตัดสินของศาลโลกและการยอมรับแผนที่1:200000 โดยการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือถือหลักแห่งความไม่ยุติธรรมโดยการตีความเพื่อเข้าข้างตัวเองไม่ว่าโดยอคติ หรือ การมีผลประโยชน์แห่งตน และ พวกพ้อง บริวาร หรือ การว่าจ้างวานให้กระทำ หรือรับจ้างมากระทำโดยความพยายามอ้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือการตีความที่ไร้ซึ่งตรรกะเพื่อบิดเบือนหลักหรือกฎแห่งธรรมชาติรวมถึงการนำเสนอกระบวนคิดโลกไร้พรมแดน และ การสร้างวาทะกรรมอันชั่วร้าย โดยเฉพาะการประนามว่าการทวงคืนดินแดนเป็นการกระทำอันกระหายสงคราม เป็นสาวกของระบอบราชานิยม อำมาตยาเสนาชาตินิยม คลั่งชาติ ดังกล่าวนี้ คือหลักคิดด้านลบ คับแคบไม่เป็นวิทยาศาสตร์ อันปฎิเสธกฎแห่งธรรมชาติที่สุดแสนจะล้าหลังสวนทางกับกงล้อประวัติศาสตร์อย่างไร้เดียงสา ไร้ยางอาย และน่าละอายที่สุด
(ดูวีดีโอแสดงภาพเคลื่อนไหวระดับน้ำใน YouTube)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น